-- ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในเอเชียอาคเนย์ (พิเศษ II) --
.. ศิลปะใบสีมาของบ้านพี่ไทยเมืองน้องลาว ..
โดย..
นางสาว มยุรินทร์ กุลวงศ์
รูปสลักใบสีมา (เสมา)
ที่มา
: http://www.silathip.com/article
ใบสีมา นิยมทำด้วยแผ่หินสกัดเป็นแผ่นหนาประมาณ 5-7.5 เซนติเมตร มีรูปทรงเฉพาะ บางแห่งสกัดเป็นลายเส้นรูปธรรมจักรเพิ่มความสวยงาม ประดิษฐานไว้ในซุ้มที่สร้างคร่อมนิมิตทั้ง 8 ทิศของโบสถ์ คล้ายเป็นสัญลักษณ์แทนนิมิต ถ้าเป็นวัดราษฎร์นิยมทำซุ้มละแผ่นเดียว ถ้าเป็นวัดหลวงนิยมทำซุ้มละสองแผ่นเรียกว่า สีมาคู่ นัยว่าเพื่อเป็นข้อสังเกตให้ทราบว่าเป็นวัดราษฎร์หรือวัดหลวง
สีมา ยังหมายถึงอุโบสถได้ด้วย
รูปสลักใบสีมาสถูปวัดธาตุหลวง
ที่มา
: http://art-in-sea.com/th
ศิลปะใบสีมา : ประวัติศาสตร์ศิลปะลาว
ในประวัติศาสตร์ของลาว ใบสีมามีลักษณะเป็นแบบแท่งหินมีทั้งแบบการสลักลวดลาย เช่น วัดสีมาสลักสถูปวัดธาตุ
ซึ่งใบสีมาของลาวนั้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับใบสีมาหินที่ปรากฎในวัฒธรรมทวารวดีอีสานตอนบน หรือ ที่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในแถบของ จังหวัดหนองคาย จังหวัดนครพนม จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดยโสธร
ซึ่งเป็นรูปแบบพระพุทธรูปที่สมักบนใบสีมาของลาว ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับพระพุทธรูปกลุ่มอีสานตอนบน ที่ได้จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑืสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์ จังหวัดนครราชสีมา ทั้งยังมีการแสดงวิตรรกมุทราที่วางพระหัตถ์บนพระเพลา หรือแบบการนั่งสมาธิราบแบบหลวมๆ สันนิษฐานกันว่าใบสีมาดังกล่าวน่าจะมีอายุอยู่ในช่วงระยะเวลาราว พุทธศตวรรษที่ 15 - 17 ซึ่งลักษณะดังกล่าว ได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันใกล้เคียงกันกับวัฒนธรรมธรรมทวารวดีที่ ปรากฎในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
รูปสลักใบสีมายุคทวารวดี
ที่มา : http://www.manager.co.th
ศิลปะใบสีมา : ประวัติศาสตร์ศิลปะไทย
“ทวาร วดี” ชื่อของอาณาจักรและยุคสมัยหนึ่งในเรื่องราวความเป็นมาของประวัติศาสตร์ไทย โดยมีบันทึกระบุไว้ว่าอาณาจักรทวารวดีนี้มีความเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่พุทธ ศตวรรษที่ 12 -18 แต่ละยุคสมัยนั้นได้มีโบราณสถานและโบราณวัตถุทิ้งไว้เป็น อนุสรณ์แก่คนรุ่นหลังให้ได้เห็นถึงความรุ่งเรืองของประวัติศาสตร์ในอดีต
โบราณสถานและโบราณวัตถุที่ยังเหลือให้เห็นและเป็นเอกลักษณ์นั้นก็คือ ”ใบเสมา” ที่ มีจุดเริ่มมาตั้งแต่ยุคสมัยทวารวดี “ใบสีมา” หรือ ”ใบเสมา” นั้นหมายถึงเขตสงฆ์ แต่เดิมครั้งพุทธกาลเขตสีมาเป็นที่กำหนดเพื่อแสดงเขตวัดหรืออารามคล้ายกำแพง วัด “ใบเสมา” แห่งยุคทวาราวดีนั้นมีความแตกต่างจากยุคสมัยใดๆตรงที่ได้สลักภาพพุทธประวัติ ภาพทศชาติชาดกหรือเรื่องราวต่างๆ ในพระพุทธศาสนาลงบนใบเสมาจึงเกิดเป็นความงดงามที่ยังคงเห็นในปัจจุบัน
รูปสลักสีมาใบพิมพาพิลาป
ที่มา : http://www.manager.co.th/South
โดยส่วนมากใบเสมาสลักนั้นจะพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่นที่บ้านกุดโง้ง จังหวัดชัยภูมิ เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยเฉพาะที่ ”เมืองฟ้าแดดสงยาง” นั้นยังสามารถพบเห็นใบเสมาหินทรายสลักที่ตั้งเรียงรายให้ได้ชมอยู่มากมาย
สำหรับใบเสมาหิน ทรายสลักที่มีความสวยงามและสมบูรณ์ที่สุดนั้นคือ ใบเสมาสลักภาพพุทธประวัติเรื่องราวเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากกรุงก บิลพัสดุ์ และนางยโสธราพิมพาขอเข้าเฝ้าโดยแสดงการสักการะขั้นสูงโดยสยายพระเกศาเช็ดพระบาท เสมาใบนี้จึงได้ชื่อว่า “พิมพาพิลาป” ซึ่งใบเสมาของจริงนั้นจัดเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น ซึ่งที่วัดโพธิ์ชัยแห่งนี้ก็ได้มีการจำลองใบเสมาดังกล่าวไว้ให้ได้ชมด้วย
และอีกหนึ่งความงดงามของเสมาสลักคือ เสมาสลักรูปเทวดาเหาะเหนือปราสาท ชั้นล่างมีรูปกษัตริย์ มเหสีและโอรส ซึ่งเป็นศิลปะพื้นเมืองอีสานสมัยทวารวดี เสมาใบนี้ได้นำมาจากเมืองฟ้าแดดสงยาง นำมาตั้งไว้ที่หน้าพระอุโบสถวัดศรีบุญเรือง จังหวัดกาฬสินธุ์
..ใบสีมาที่หลงเหลืออยู่ในประเทศไทยปัจจุบัน..
ใบเสมาวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย
เสมา ๓ สมัย
ใบเสมาที่สะท้อนเอกลักษณ์ของยุคสมัยสุโขทัย ล้านนา และอยุธยา ซึ่งทั้งสามสมัยนี้มีความชัดเจนในวัฒนธรรมการนับถือพุทธศาสนาเถรวาท มีการสร้างวัดวาอาราม การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ลักษณะใบเสมา 3 สมัย
ที่มา : http://oknation.nationtv.tv/blog/
ใบเสมาในสมัยสุโขทัย นั้น ใช้เสมาลักษณะเป็นแผ่นใหญ่ทำด้วยหินชนวน ดังที่ปรากฏหลักฐานตามวัดโบราณต่างๆ ทั้งที่ค้นพบในตัวเมืองเก่าสุโขทัย และที่อำเภอศรีสัชนาลัย สวรรคโลก รวมไปถึงเมืองกำแพงเพชร พิษณุโลก พบว่า แผ่นศิลาที่สันนิษฐานว่าเป็นใบเสมา นี้มีรูปแบบที่ไม่ต่างกันมากนัก โดยสามารถจำแนกได้เป็น ๓ แบบคือ
๑. แบบแผ่นศิลารูปสี่เหลี่ยม ขอบปากมนยอดทั้งสองด้านไปบรรจบเป็นยอดแหลมตรงกลาง ตรงกลางใบเสมาสลักเป็นสันตรงตลอดคล้ายใบเสมาในสมัยทวารวดี
๒. แบบแผ่นศิลาปาดขอบกลมยอดแหลมแล้วคอดเล็กน้อย ส่วนล่างผายออกยกมุมแหลมเล็กน้อย ตัวใบเสมาสลักเป็นแนวสันเล็กๆ ลงมาถึงกึ่งกลาง แล้วสลักแยกออกเป็น ๒ ส่วนดูคล้ายรูปสามเหลี่ยม
๓. แบบแผ่นศิลาเรียบไม่มีลวดลาย ปาดขอบทั้งสองด้านเกิดเป็นสันแหลมตรงกลาง
ใบเสมาวัดมหาโพธาราม จังหวัดเชียงใหม่
ใบเสมาในสมัยล้านนา เป็นรูปแบบที่ไม่เน้นการประดับตกแต่งมากนัก จากหลักฐานที่ค้นพบตามวัดวาอารามในเขตเมืองเชียงใหม่และเมืองโดยรอบที่เคย อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรล้านนาพบว่า ใบเสมามีรูปแบบที่เรียบง่าย พอจำแนกได้เป็น ๓ แบบ
ใบเสมา วัดมหาโพธาราม
ที่มา :http://www.archae.su.ac.th
๑. แบบแท่งศิลากลมยาว ปลายปาดมน รูปแบบในลักษณะนี้ น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักรหริภุญไชย ซึ่งเป็นอาณาจักรที่เติบโตมาก่อนล้านนา เป็นช่วงปลายของอาณาจักรทวารวดีแล้ว
๒. แบบศิลาเรียบไม่มีลวดลาย สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักรสุโขทัยในรัชสมัยพระยาลิไท เมื่อครั้งรับพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์
๓. ใช้ก้อนหินธรรมดาเป็นใบเสมา สิ่งที่น่าสนใจอย่างมากคือ ในสมัยล้านนานี้เป็นช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธมีความเจริญรุ่งเรือง อย่างมาก ทว่าใบเสมากลับไม่ได้รับการตกแต่งให้มีความวิจิตรงดงามมากนัก ซึ่งต่างกับใน ยุคก่อนหน้านั้นที่มีการสลักลวดลายเต็มพื้นที่ นั่นอาจเป็นไปได้ว่าในสมัยนี้ เสมาเริ่มลดบทบาทลง แต่มีความโดดเด่นที่พระพุทธรูปและพุทธสถานแทน
ใบเสมาวัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
การสร้างฐานหรือแท่นสูงสำหรับปักเสมา หรือเรียกโดยรวมว่า “เสมานั่งแท่น” และให้ความสำคัญกับแท่นหรือฐานนี้ด้วยการประดับตกแต่งมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการสร้างเรือนหรือซุ้มครอบแผ่นเสมาไว้ เรียกว่า “ซุ้มเสมา” ซึ่งส่งอิทธิพลอย่างมากในสมัยรัตนโกสินทร์ ด้วยระยะเวลาอันยาวนานของราชธานีกรุงศรีอยุธยา จึงได้จำแนกรูปแบบของใบเสมาอยุธยาไว้ได้ดังนี้
ใบเสมา วัดศรีสรรเพชญ์
ที่มา : https://www.gerryganttphotography.com
๑. ใบเสมาศิลาเรียบ ตรงกลางสกัดเป็นสันแถบยาวตลอด และมีลายประจำยามอยู่ตรงกลาง
๒. ใบเสมาศิลาเรียบนั่งแท่น แต่ตรงกลางสกัดเป็นสันแถบยาว และมีลายประจำยามอยู่ตรงกลางเป็นรูปคล้ายทับทรวง บ้างสลักเป็นรูปเทวดา หรือครุฑยุดนาค
๓. ใบเสมาศิลาเรียบนั่งแท่น แต่สกัดให้มีความเรียวมากขึ้น (อยุธยาปลาย) สลักลายที่ดูแข็งกระด้าง และบางแห่งเป็นเสมาเรียบไม่มีลวดลาย และเน้นความงดงามที่ซุ้มเสมา
มีความแตกต่างจากใบเสมารุ่นเก่าอย่างในสมัยทวารวดีมาก ด้วยขนาดที่เล็กลง พื้นที่ในการสลักลวดลายจึงมีอยู่อย่างจำกัด จากที่เคยเป็นภาพเล่าเรื่องจึงเป็นเพียงลายกระหนก ลายประจำยาม และลวดลายของพันธุ์พฤกษา แต่ความสำคัญที่ว่า ใบเสมาคือ เครื่องกำหนดเขตชุมนุมของสงฆ์ ยังคงทำหน้าที่เช่นเดิม
ใบเสมาวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
เสมาแนบผนัง ในสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นการสืบทอดรูปแบบมาจากสมัยอยุธยาตอนปลาย เช่นเดียวกันกับรูปแบบของศิลปกรรมแขนงอื่นๆ กล่าวคือในช่วงอยุธยาตอนปลาย มีการประดับลวดลายที่ซุ้มเสมาแล้ว มาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ การตกแต่งลวดลายจึงไม่ใช่เพียงที่ซุ้มเสมาเท่านั้น หากแต่ยังปรากฏความหลากหลายของรูปทรงและลวดลายที่ประดับอยู่ที่ใบเสมาด้วย
ใบเสมา วัดสรรเพชญ์
ที่มา : http://www.guaranteepra.com
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงลักษณะและแบบแผนของผังเสมาโดยสังเขป แบ่งออกเป็น ๔ ลักษณะ
๑. เสมาลอย คือการปักใบเสมาบนฐานที่ตั้งบนพื้นโดยตรง และตั้งอยู่โดดๆ รอบพระอุโบสถ
๒. เสมาบนกำแพงแก้ว คือเสมานั่งแท่นที่มีกำแพงแก้วชักถึงกันทั้ง ๘ แท่น
๓. เสมาแนบผนัง คือเสมาที่ตั้งหรือประดับเข้ากับส่วนของผนังพระอุโบสถ
๔. เสมาแบบพิเศษ คือการใช้แบบอย่างเสมาลักษณะพิเศษต่างจากแบบแผนทั่วไป
ซึ่งจะพบความหลากหลายของแผนผังการวางเสมาในสมัยรัตนโกสินทร์นี้ และในสมัยนี้เองที่พบว่า มีการสลักใบเสมาด้วยลายพระธรรมจักร โดยยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่เพียงลวดลายที่มีความงดงามและรูปทรงที่ต่างจากยุคโบราณ หากแต่เป็นเรื่องของการประดิษฐานใบเสมาที่พบว่ามีความน่าสนใจไม่แพ้กัน
ใบเสมา
วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร
ที่มา : https://commons.wikimedia.org
ทั้งนี้นอกจากสถานที่ ที่ได้หยิบยกมานำเสนอแล้ว ยังมีอีกหลากหลายสถานที่ที่ค้นพบใบเสมา หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงออกถึงศิลปะที่เกี่ยวข้องกับศาสนาให้เยี่ยม ชมอีกมากมาย ลักษณะเด่นของยุคนั้นๆ ความแตกต่างและพัฒนาการของศิลปะ ไม่ว่าจะเป็น..
- ใบเสมา ที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร
เป็นใบเสมาหินทรายแกะเป็นรูปดอกบัว ตามชื่อของวัด กรอบเป็นแนวสองชั้น รองรับด้วยกลีบบัว และรองรับด้วยฐานสิงห์ ๑ ฐาน
- ใบเสมาวัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
เป็นเสมาสลักด้วยหินอ่อนติดอยู่ที่มุมทั้งสี่ทิศ ซึ่งสลักรูปท้าวจตุโลกบาลประจำทิศทั้งสี่ คือ ท้าวธตรส ท้าววิรูปักษ์ ท้าววิรุฬหก และท้าวเวสสุวรรณ ใบเสมาแนบผนังพระอุโบสถได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย หากแต่ในช่วงนี้ความสำคัญของซุ้มเสมาก็มีเพิ่มเข้ามาด้วย ทำให้เสมาที่ปักรายรอบพระอุโบสถมีความนิยมมากกว่า
- มหาเสมาวัดบรมนิวาส กรอบสังฆกรรมที่ใหญ่ขึ้น
- มหาเสมาวัดโสมนัสวิหาร
- มหาเสมาวัดราชประดิษฐ์
เสมา อีกรูปแบบหนึ่ง ที่มีความแปลกและความสำคัญในเรื่องของแนวความคิด คติในการสร้าง เสมาที่ว่านี้ เรียกว่า ‘มหาเสมา’ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นของพระอรรถกถาจารย์ชื่อ พระมหาสุมันตเถระ และพระมหาปทุมเถระ อรรถกถาดังกล่าวอธิบายถึงวิธีผูกมหาสีมา วิธีผูกขัณฑสีมา และวิธีผูกสีมา ๒ ชั้นในการผูกพัทธเสมา ๒ ชั้นนี้ สามารถเรียกแยกได้ว่า ‘มหาเสมา’ คือ พัทธเสมาใหญ่ และ ‘ขัณฑเสมา’ คือ พัทธเสมาที่อยู่ภายใน มีความหมายถึงเขตที่ย่อยลงไป ซึ่งอยู่ในมหาเสมาอีกต่อหนึ่ง
- ซุ้มเสมาวัดสุทัศน์ กรุงเทพมหานคร หลากซุ้มคลุมเสมา
- ซุ้มเสมาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร
- ซุ้มเสมาวัดอรุณฯ กรุงเทพมหานคร
- ซุ้มเสมาวัดเขาบันไดอิฐ จ.เพชรบุรี
- ซุ้มเสมาวัดราชโอรส กรุงเทพมหานคร
- ซุ้มเสมาวัดพิชัยญาติ กรุงเทพมหานคร
- ซุ้มเสมาวัดพุทไธสวรรค์ จ.พระนครศรีอยุธยา
องค์ ประกอบสำคัญประการหนึ่งซึ่งส่งผลให้เสมามีความโดดเด่นและมีความงดงามมากยิ่ง ขึ้น นั่นคือ ‘ซุ้มเสมา’ ซุ้มเสมาเป็นอีกรูปแบบสถาปัตยกรรมหนึ่งที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม โดยสืบทอดแบบอย่างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นแบบแผนที่ยังคงมีให้ศึกษามาจวบจนปัจจุบัน
ใบเสมา วัดท้าวโคตร
ที่มา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_south
อ้างอิง : กรมศิลปากร. วิวัฒนาการพุทธสถานไทย. กรุงเทพฯ : กรม, ๒๕๓๓.
พระเทพโมลี. พัทธสีมา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แพร่การช่าง, ๒๕๑๓.
ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมพุทธศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๔๗.
แหล่งข้อมูล : http://art-in-sea.com/th/data/lao-art/lao-art/itemlist/category/154-se-ma.html
: http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9560000053777
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น