-- ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในเอเชียอาคเนย์
I --
.. ศิลปะจันทิชวาภาคกลาง ..
โดย.. นางสาว มยุรินทร์
กุลวงศ์
ศิลปะจันทิชวา แบบบาหลี
สถาปัตยกรรมจันทิชวาแบบบาหลี
ที่มา : https://sites.google.com/site/indonesiaasean2014
ลวดลายสลักบนโบราณสถานจะมีลักษณะเป็นพื้นเมืองมากขึ้น สังเกตว่าการสลักจะตื้นกว่าการสลักในชวาภาคกลาง และรูปบุคคลจะมีลักษณะคล้ายๆตัววาหยังหรือหนังตะลุงคือหันข้างๆลวดลายหลัง ภาพจะมีมากขึ้น บางทีจะมีลักษณะอิทธิพลศิลปะจีน เช่น ลายเมฆ ลายประแจจีน ภาพสลักบางภาพจะปรากฏรูปตัวตลกหรือปะนะกะวัน ซึ่งปรากฏในเรื่องวาหยัง panakawan นี้มีลักษณะคล้ายๆตัววิทูษกะในวรรณคดีอินเดียซึ่งไม่เพียงแต่เป็นผู้ทำตลก เท่านั้น ยังมีลักษณะคล้ายพี่เลี้ยงหรือครูของตัวเอกด้วย
ศิลปะจันทิชวา แบบตะวันออก
สถาปัตยกรรมจันทิชวาแบบตะวันออก
ที่มา :https://sites.google.com/site/indonesiaasean2014
ศิลปะจันทิชวา แบบตะวันออก
ศาสนสถานของชวาภาคตะวันออกวิวัฒนาการจากแบบของชวาภาคกลาง แต่มีลักษณะพื้นเมืองมากขึ้น อิทธิพลอินเดียลดลง วัสดุที่ใช้เป็นอิฐมากขึ้นแทนที่จะใช้หินดังศิลปะชวาภาคกลาง ลักษณะโครงสร้างโบราณสถานเองจะเปลี่ยนไปบ้าง ที่เห็นได้ชัดคือสัดส่วนความสูงระหว่างตัวศาสนสถาน ฐานและหลังคาจะมีความสูงเกือบเท่ากันทั้งสามส่วน ซึ่งต่างจากศาสนสถานของชวาภาคกลางที่จะมีฐานเตี้ย หลังและฐานของโบราณสถานชวาตะวันออกสูงใหญ่จนดูจะสำคัญกว่าตัวโบราณสถานเอง บันไดที่จะขึ้นไปสู่โบราณก็จะสูงขึ้น หลังคานั้นจะทำเป็นรูปที่ค่อยๆสอบเข้าหากัน คือ ส่วนล่างของหลังคาจะใหญ่และค่อยๆเรียวขึ้นไปทางส่วนยอด
ศิลปะจันทิชวา แบบภาคกลาง
จันทิ สถาปัตยกรรมอินโดนีเซีย ที่เรียกว่าจันทินี้ จะมีลักษณะที่สร้างเป็นกุฏิเล็กๆ ตั้งอยู่บนฐานเตี้ยๆ ด้านหน้ามีมุขยื่นออกมา มีบันไดขึ้นลง (ดูภาพลายเส้น ส่วนใหญ่จะหันไปทางทิศตะวันออก หลังคาซ้อนเป็นชั้นๆ ประดับด้วยซุ้ม และมีรูปจำลองอาคารซึ่งอาจจะเป็นจันทิหรือสถูปประดับอยู่ที่มุม กรอบประตูหรือกรอบหน้าต่างจะประดับด้วยลายกาล-มกร คือหน้ากาลหรือกีรติมุขที่ประดับอยู่ส่วนบนสุดของกรอบประตูหรือหน้าต่าง
ลายเส้นสถาปัตยกรรมจันทิแบบภาคกลาง
ที่มา
: https://sites.google.com/site/indonesiaasean2014
และจะดูเหมือนว่าหน้ากาลนี้คาบตัวกรอบประตูหรือหน้าต่าง ปลายกรอบประตูหรือหน้าต่างทั้งสองข้างนี้จะประดับด้วยลายมกร ซึ่งเป็นสัตว์คล้ายจระเข้แต่มีงวงคล้ายช้าง มกรนี้จะหันหน้าออกจากประตู และบางครั้งมกรจะใช้งวงยึดอุบะไว้ บางครั้งปลายงวงจะมีรูปสัตว์ต่างๆ เช่น สิงห์หรือนาคยื่นออกมา และบางทีก็มีรูปคนหรือสิงห์อยู่ใน ปากมกร บางครั้งปลายงวงก็ม้วนออกมาเป็นรูปพรรณพฤกษา ในสถาปัตยกรรมชวาภาคกลางหน้ากาลจะไม่มีริมฝีปากล่าง
ศิลปะจันทิชวา
แบบภาคกลาง
ที่มา
: http://www.manager.co.th
ศิลปะจันทิชวา
จันทินี้ เป็นเทวาลัยล้อมรอบด้วยกำแพงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส 3 ชั้น แต่ละชั้นมีประตูเข้า 4 ทาง ชั้นในและชั้นกลางมีศูนย์กลางร่วมกัน และตั้งค่อนไปทางมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกำแพงชั้นนอก
ลานชั้นในมีเทวาลัย 3 หลังใหญ่ ตั้งอยู่ด้านตะวันตกของกำแพงชั้นใน ทั้งสามหลังหันหน้าไปทางตะวันออก หลังกลางสร้างถวายพระศิวะ ทางใต้เป็นเทวาลัยของพระพรหม ทางเหนือสร้างถวายพระวิษณุ ทางตะวันออกของลานชั้นในมีจันทิเล็กๆ อีก 3 หลัง หลังกลางเป็นเทวาลัยโคนันทิพาหนะพระศิวะ อีก 2 หลังเป็นจันทิของพาหนะพระพรหมและพระวิษณุตามลำดับ
อาคารต่างๆมีลักษณะคล้ายๆกันคือหลังคาจะประดับด้วยรูปจำลองอาคาร มีลักษณะคล้ายเจดีย์ แต่มีลายเส้นมาแบ่งเป็นซี่คล้ายอามลกะ
จันทินี้มีประติมากรรมและภาพสลักมาก มาย ภาพที่น่าสนใจได้แก่ เทวรูปพระอิศวรที่ประดิษฐานอยู่ในห้องกลางของเทวาลัยพระศิวะ รูปนางทุรคา ชายาพระศิวะ ด้านใต้รูปพระอคัสตยะหรือพระอิศวรมหาโยคี อีกด้านคือด้านตะวันตกเป็นรูปพระคเณศตามกำแพงสลักเรื่องรามเกียรติ์
ฐาน ชั้นล่างประดับด้วยลวดลายที่เรียกว่าเป็นแบบของปรัมบะนันโดยเฉพาะคือเป็นรูป สิงห์อยู่ในซุ้มมีต้นกัลปพฤกษ์ 2 ข้าง
จันทิบนเดียง
ที่มา
: http://www.manager.co.th
กลุ่มจันทิที่ราบสูงบนเดียง
คำว่า “เดียง” ในภาษาพื้นเมืองโบราณเขียนว่า “Di Hyang” แปลว่า “สถานที่ของบรรพบุรุษ” แสดงถึงความเชื่อมโยงแนวคิดในการบูชาวิญญาณบรรพบุรุษที่มีมาก่อนกับการสร้างเทวาลัยเพื่อเป็นที่สถิตของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูซึ่งเป็นความเชื่อใหม่จากอินเดียที่เข้ามาผสมผสานกับความเชื่อท้องถิ่น
จันทิที่ราบสูงบนเดียงที่สำคัญได้แก่ จันทิอรชุน จันทิเสมาร์ จันทิศรีกันที จันทิปุนตเทพและจันทิเสมาภัทร โดยจันทิที่สำคัญที่สุด คือ จันทิอรชุน
ชื่อของจันทิบนที่ราบสูงเดียงนี้ ล้วนแต่ตั้งขึ้นตามตัวละครในมหากาพย์ภารตะ เช่น
อรชุน ปุนตเทพ ภีมะ อย่างไรก็ตาม
เทวาลัยแห่งนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับตัวละครเหล่านี้แต่อย่างใด
แต่หากถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่สถิตของเทพเจ้าตามความเชื่อนั้นในยุคสมัย นั้นๆ
จันทิอรชุน
ที่มา
: http://www.sac.or.th
จันทิอรชุน
จันทิอรชุนเป็นจันทิขนาดเล็ก มีรูปแบบอย่างง่ายๆ คือ ประกอบด้วยฐานบัวจำนวน 1 ชั้น รองรับเรือนธาตุ ชั้นหลังคาประกอบด้วยเรือนธาตุจำลองซ้อนชั้นขึ้นไปหลายชั้น โดยแต่ละชั้นมีขนาดเล็กลงไปเรื่อยๆทำให้เส้นรอบนอกของยอดจันทิคล้ายขั้น บันได ที่กึ่งกลางของเรือนธาตุจำลองปรากฏซุ้มจระนำขนาดเล็กซึ่งแสดงการจำลองแบบ เรือนธาตุจริงขึ้นไป ที่มุมของเรือนธาตุจำลองแต่ละชั้นปรากฏ อาคารจำลอง
จันทิมีลักษณะคล้ายคลึงกับวิมานในศิลปะอินเดียใต้อย่างมาก คือ เป็นจันทิในผังครรภคฤหะ มีมุขสั้นๆยื่นออกมาทางด้านหน้า เรือนธาตุประดับด้วยเสาติดผนังสี่ต้นแบ่งผนังออกเป็นสามส่วน (เก็จประธานและเก็จมุม) ชั้นหลังคามีเรือนธาตุจำลอง (ตละ) ซ้อนชั้นขึ้นไป ที่มุมประดับด้วยอาคารจำลอง (หาระ) เส้นรอบนอกของยอดมีลักษณะป้นขั้นบันไดนั้นคล้ายคลึงกับวิมานในศิลปะ อินเดียใต้อย่างมาก
เรือนธาตุจันทิอรชุน
ที่มา
: http://www.sac.or.th
เรือนธาตุจันทิอรชุน
เรือนธาตุของจันทิอรชุน ปรากฏการแบ่งออกเป็น 3
ช่วงด้วยเสาติดผนังจำนวน 4 ต้น (เสา 2 ต้นตรงกลางและ 2 ต้นที่มุม) การแบ่งด้วยทำให้เรือนธาตุประหนึ่งว่าถูกแบ่งออกเป็นเก็จประธานและเก็จมุม
อย่างไรก็ตาม ผนังของแต่ละเก็จไม่ได้มีการหยักมุมนัก
ทำให้ผนังของเก็จมุมและเก็จประธานอยู่ในระนาบเดียวกัน ที่เก็จประธานปรากฏซุ้มจระนำ
ส่วนเก็จข้างกลับไม่ปรากฏซุ้มใดๆ ซุ้มจระนำที่เก็จประธานอาจเคยประดิษฐานประติมากรรมซึ่งสูญหายไปแล้ว
มุขด้านหน้าและซุ้มประตูจันทิอรชุน
ที่มา
: http://www.sac.or.th
มุขด้านหน้าและซุ้มประตูจันทิอรชุน
มุขด้านหน้าจันทิอรชุนมีลักษณะน่าสนใจ
คือ เป็นมุขสั้นๆที่มีหลังคาทรงจั่วสามเหลี่ยมตามแบบพื้นเมือง
แตกต่างไปจากหลังคามุขมณฑปในศิลปะอินเดีย ที่สำคัญคือการปรากฏซุ้มกาล-มกรซึ่งครอบประตูทั้งหมด
ลักษณะเช่นนี้แตกต่างไปจากศิลปะอินเดียเช่นกัน และอาจกล่าวได้ว่าซุ้มกาลมกรนี้เป็นลักษณะเฉพาะในศิลปะชวาอย่างแท้จริง
ซุ้มกาล-มกร คือซุ้มซึ่งปรากฏหน้ากาลอยู่ด้านบน หน้ากาลคายวงโค้งออกมา
และที่ปลายสุดของวงโค้งทั้งสองข้างปรากฏมกรหันออก
จันทิปุนตเทพ
จันทิปุนตเทพ
ที่มา
: http://www.sac.or.th
จันทิปุณตเทพเป็นจันทิที่งดงามอีกแห่งหนึ่งในศิลปะชวาภาคกลางตอนต้น แม้ว่าเค้าโครงของสถาปัตยกรรมจะคล้ายคลึงกับจันทิอรชุน แต่จันทิปุนตเทพกลับมีรายละเอียดที่มากกว่าจันทิอรชุนประเด็น ที่มีรายละเอียดกว่าจันทิอรชุนก็คือ เก็จประธานมีการซ้อนซุ้มกาล-มกรในกรอบสี่เหลี่ยม นอกจากนี้ ภายในซุ้มยังปรากฏยอดปราสาทซ้อนภายในอีกชั้นหนึ่งส่วนที่เก็จมุมของเรือน ธาตุปรากฏการประดับเสาติดผนังที่ด้านข้างและซุ้มลายกนกที่ด้านบน
จันทิปุณตะเทพมีลักษณะคล้ายคลึงกับวิมานในศิลปะอินเดียใต้อย่างมาก คือ เป็นจันทิในผังครรภคฤหะ มีมุขสั้นๆยื่นออกมาทางด้านหน้า เรือนธาตุประดับด้วยเสาติดผนังสี่ต้นแบ่งผนังออกเป็นสามส่วน ชั้นหลังคามีเรือนธาตุจำลองซ้อนชั้นขึ้นไป ที่มุมประดับด้วยอาคารจำลอง ลักษณะพิเศษเพิ่มเติมของจันทิหลังนี้ก็คือการปรากฏลวดลายตกแต่งซุ้มจระนำ ที่เก็จประธานเป็นรูปกรอบสี่เหลี่ยม และการตกแต่งเก็จมุมด้วยเสาและซุ้มซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ปรากฏมาก่อนกับจันทิอรชุน
จันทิศรีกันที
ที่มา
: http://www.sac.or.th
จันทิศรีกันทีเป็นจันทิขนาดเล็กระหว่างจันทิอรชุนและจันทิปุนตเทพ
มีผนังแบ่งออกเป็น 3
เก็จอย่างง่ายๆด้วยเสาติดผนัง 4 ต้น ก้านบนเรือนธาตุยังปรากฏชั้นคอ
ซึ่งบนท้องไม้มีลวดลายกูฑุและลายประจำยามซึ่งอาจหมายถึงลายชาลีหรือลายเลียนแบบช่องระบายอากาศ
ที่เก็จประธานปรากฏภาพพระวิษณุผู้ถือจักรและสังข์ที่พระหัตถ์คู่บน ประทับยืน
อย่างไรก็ตามพระหัตถ์คู่หน้ากลับถือหอกหรือสิ่วซึ่งไม่ใช่อาวุธของพระวิษณุโดยทั่วไป
ที่มา : https://sites.google.com/site/indonesiaasean2014
: http://art-in-sea.com/th/data
: http://www.manager.co.th/Travel
: http://mblog.manager.co.th/leknuaon/th-72062/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น