จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560

จิตรกรรมขอเล่าเรื่อง..









-- ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในเอเชียอาคเนย์ V --
.. จิตรกรรมผนังเล่าเรื่อง ..

โดย .. นางสาวมยุรินทร์  กุลวงศ์ ..









จิตรกรรม (Painting) หมายถึง ผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการขีดเขียน การวาด และระบายสี เพื่อให้เกิดภาพ เป็นงานศิลปะที่มี 2 มิติ เป็นรูปแบบไม่มีความลึกหรือนูนหนา แต่สามารถเขียนลวงตาให้เห็นว่ามีความลึกหรือนูนได้ ความงามของจิตรกรรมเกิดจากการใช้สีในลักษณะต่าง ๆ กัน










จิตรกรรมวัดป่าฮวก
ที่มา : http://www.sac.or.th/

  

จิตรกรรมวัดป่าฮวก

        จิตรกรรมวัดป่าฮวกศิลปะหลวงพระบางช่วงพุทธศตวรรษที่ 24-25 เป็นระยะที่ได้รับอิทธิพลรัตนโกสินทร์อย่างมาก แต่ต้องไม่ลืมว่า การที่เจ้านายบางพระองค์ในราชวงศ์หลวงพระบางได้เคยเสด็จมาประทับ ณ กรุงเทพจึงอาจทำให้อิทธิพลรัตนโกสินทร์ปรากฏบทบาทอย่างมากในแถบนี้ก็ได้           ด้านหลังพระพุทธรูปประธานของวัดป่ารวกเขียนเป็นภาพธรรมชาติ เช่นภูเขา โขดหินและสัตว์ป่า ประหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ภายในป่าหิมพานต์ ด้านบนปรากฏอาคารซึ่งพระพุทธเจ้าแวดล้อมด้วยพระสาวกกำลังนั่งฟังธรรมอยู่








 จิตรกรรมวัดป่าฮวก
ที่มา : http://www.sac.or.th/

จิตรกรรมวัดป่าฮวก


        ภาพเล่าเรื่องนี้เป็นภาพตอนพระเจ้าชมพูบดีกำลังเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ที่ แปลงตนเองเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ โปรดสังเกตว่าพระเจ้าชมพูบดีกำลังตกตะลึงกับความงดงามของเมืองและปราสาทราช วังของพระพุทธเจ้า การเขียนภาพชมพูบดีที่วัดป่าฮวกใกล้กับพระราชวังหลวงพระบาง อาจเกี่ยวข้องกับการยกสถานะเจ้ามหาชีวิตแห่งหลงพระบางให้เทียบเท่ากับพระจักรพรรดิก็ได้

       แม้ว่ารูปแบบของจิตรกรรมที่นี่แสดงความพยายามในการเลียนแบบศิลปะรัตนโกสินทร์อย่างมาก เช่น การวาดภาพปราสาทและเครื่องแต่งกายบุคคลเป็นต้น แต่การใช้สีของจิตรกรรมที่นี่กลับแปลกออกไปกว่าศิลปะรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะการเน้นสีส้ม








 จิตรกรรมวัดป่าฮวก
ที่มา : http://www.sac.or.th/

 

จิตรกรรมวัดป่าฮวก


       จิตรกรรมที่นี่มีความพิเศษอย่างมากเนื่องจากมีการวาดภาพ คนจีน แทรกลงไปในจิตรกรรมไทยประเพณี ซึ่งลักษณะเช่นนี้แตกต่างไปจากจิตรกรรมที่กรุงเทพ คนจีนเหล่านี้มีทั้งบุรุษและสตรี โดยการแต่งตัวแสดงให้เห็นเอกลักษณ์ชนชาติอย่างชัดเจน อนึ่ง ต้องไม่ลืมว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการติดต่ออย่างมากระหว่างจีนกับรัตนโกสินทร์ ซึงอิทธิพลดังกล่าวอาจเลยมาถึงหลวงพระบางเช่นกัน








 จิตรกรรม เรื่อง ออกมหาอภิเนากรมณ์และมารวิชัย
                                                                                                                          ที่มา : http://www.sac.or.th/

 

จิตรกรรมเรื่องออกมหาภิเนษกรมณ์และมารวิชัย


          จิตรกรรมนี้เป็นภาพตอนออกมหาภิเนษกรมณ์ โดยเป็นภาพเจ้าชายสิทธัตถะกำลังขี่ม้ากัณฐกะเหาะอยู่ด้านบนท้องฟ้า ส่วนด้านล่างเป็นรูปมารวิชัยโดยพระแม่ธรณีกำลังบีบมวยผมเพื่อให้น้ำท่วมกอง ทัพมาร การเขียนแบบทัศนียวิทยาแบบตะวันตกทำให้น้ำท่วมประหนึ่งว่าเป็นภาพที่มองลงมาจากด้านบน (Bird Eye View)

          อิทธิพลรัตนโกสินทร์ที่ปรากฏในภาพเขียน เช่น การวาดภาพปราสาทราชวังและตัวละคร รวมถึงการวาดท้องฟ้าสีฟ้าและทัศนียวิทยาตามแบบความเป็นจริงซึ่งแสดงให้เห็นการเข้ามาของอิทธิพลตะวันตก จิตรกรรมนี้จึงอาจเกี่ยวข้องกับศิลปะรัตนโกสินทร์ในสมัย รัชกาลที่ 4-5

 

 

 

 

 

 
 
จิตรกรรมบนหน้าบัน สิมวัดหาดเสี้ยว 
                                                                                                                             ที่มา : http://www.sac.or.th/

 

จิตรกรรมบนหน้าบัน สิมวัดหาดเสี้ยว


         จิตรกรรมนี้เป็นภาพพุทธประวัติตอนตอนก่อนและหลังตรัสรู้ เช่น ตอนตัดพระเกศาที่แม่น้ำอโนมานที ตอนพระอินทร์ดีดพิณสามสาย ตอนมารวิชัย ตอนสัตตมหาสถานเป็นต้น

         เป็นที่น่าสังเกตว่าเนื่องจากช่างต้องการเน้นย้ำตอนมารวิชัยให้เป้นตอนที่สำคัญที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงใช้ตอนมารวิชัยวางไว้ด้านบนสุด ส่วนตอนอื่นๆ คือ ตอนตัดพระเกศาและตอนสัตตมหาสถานกลับแบ่งกันด้านล่างของหน้าบัน

         อิทธิพลรัตนโกสินทร์ที่ปรากฏในภาพเขียน เช่น การวาดท้องฟ้าสีฟ้าและทัศนียวิทยาตามแบบความเป็นจริงซึ่งแสดงให้เห็นการเข้า มาของอิทธิพลตะวันตก จิตรกรมนี้จึงอาจเกี่ยวข้องกับศิลปะรัตนโกสินทร์ในสมัย รัชกาลที่ 4-5








 จิตรกรรมเรื่องพระเตมีย์
ที่มา : http://www.sac.or.th/

 

จิตรกรรมเรื่องพระเตมีย์


         จิตรกรรมนี้เป็นภาพพระเตมีย์อันเป็นพระชาติแรกในทศชาติชาดก ตรงกลางเป็นภาพปราสาทขนาดใหญ่มีภาพพระเตมีย์นั่งบนพระเพลาของพระราชบิดาที่กำลังตัดสินความ ถัดจากภาพเป็นภาพพระเตมีย์แสร้างบ้าใบ้จนพระเทวีกรรแสง ด้านบนเป็นภาพพระเตมีย์ยกรถและคนที่กำลังขุดหลุมเพื่อฝังพระเตมีย์ทั้งเป็น

       








 ทวารบาลแบบจีน สิมวัดล่องคูณ
                                                                                                                          ที่มา : http://www.sac.or.th/

 

ทวารบาลแบบจีน สิมวัดล่องคูณ


         ทวารบาลแบบจีนนี้ แต่งตัวด้วยชุดเกราะตามแบบนักรบ (บุ๋น) และถืออาวุธตามแบบจีนซี่งเป็นลักษณะปกติของทวารบาลจีน รวมถึงทวารบาลแบบจีนประยุกต์ในศิลปะไทย (เสี้ยวกาง)

         เนื่องจากศิลปะหลวงพระบางช่วงพุทธศตวรรษที่ 24 เป็นระยะที่ได้รับอิทธิพลรัตนโกสินทร์อย่างมาก ทำให้รูปทวารบาลแบบจีนตามพระราชนิยมในรัชกาลที่สามได้เข้ามาปรากฏในแถบนี้ บางวัด เช่น วัดล่องคูณเมืองหลวงพระบางเป็นต้น แต่อย่างไรต้องไม่ลืมว่า การที่เจ้านายบางพระองค์ในราชวงศ์หลวงพระบางได้เคยเสด็จมาประทับ ณ กรุงเทพจึงอาจทำให้อิทธิพลรัตนโกสินทร์ปรากฏบทบาทอย่างมากในแถบนี้ก็ได้








 ทวารบาล ลายประคำประดับผนังด้านในสิมวัดเชียงทอง
                                                                                                                          ที่มา : http://www.sac.or.th/

 

ทวารบาล ลายคำประดับผนังด้านในสิมวัดเชียงทอง


         แม้ว่าวัดเชียงทองอาจสร้างขึ้นมาตั้งแต่รัชกาลพระเจ้าไชยเชษฐาในพุทธศตวรรษ ที่ 21-22 แต่สิมวัดเชียงทองน่าจะมีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 23-24 ส่วนการตกแต่งด้วยลายคำและการประดับกระจกนั้นน่าจะมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 25

         ในศิลปะล้านช้างสกุลช่างหลวงพระบาทราวพุทธศตวรรษที่ 25 การตกแต่งลายคำได้รับความนิยมอย่างมาก โดยส่วนมากมักประดับภายในอาคาร โดยผนังด้านหน้าวัดเชียงทอง มีการประดับภาพเหล่าเทวดากำลังบูชาพระเจดีย์จุฬามณีอันงดงามมาก บริเวณผนังที่ขนาบทางเข้ายังปรากฏภาพ ทวารบาลหรือเทวดาผู้รักษาประตูขนาดใหญ่ เทวดาเหล่านี้มักถือดอกโบตั๋นอันสื่อความหมายถึง การบูชาพระพุทธเจ้า ผู้ประทับภายในอาคารนั้น ดอกโบตั๋นเป็นดอกไม้ในศิลปะจีนที่เข้ามามีบทบาททั้งในศิลปะล้านช้างและล้านนา









 ทวารบาล ลายคำประดับผนังด้านในสิมวัดเชียงทอง
                                                                                                                          ที่มา : http://www.sac.or.th/

 

ทวารบาล ลายคำประดับผนังด้านในสิมวัดเชียงทอง


         ในศิลปะล้านช้างสกุลช่างหลวงพระบาทราวพุทธศตวรรษที่ 25 การตกแต่งลายคำได้รับความนิยมอย่างมาก โดยส่วนมากมักประดับภายในอาคาร โดยผนังด้านหน้าวัดเชียงทอง มีการประดับภาพเหล่าเทวดากำลังบูชาพระเจดีย์จุฬามณีอันงดงามมาก บริเวณผนังที่ขนาบทางเข้ายังปรากฏภาพ ทวารบาลหรือเทวดาผู้รักษาประตูขนาดใหญ่ เทวดาเหล่านี้มักถือดอกโบตั๋นอันสื่อความหมายถึง การบูชาพระพุทธเจ้าผู้ประทับภายในอาคารนั้น ดอกโบตั๋นเป็นดอกไม้ในศิลปะจีนที่เข้ามามีบทบาท ทั้งในศิลปะล้านช้างและล้านนา




































































ที่มา : http://www.sac.or.th/

     : https://www.baanjomyut.com/


โบสถ์นี้มีที่มา..เรื่องราวสวยงามของต่างที่









-- ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในเอเชียอาคเนย์ IV --
.. ศิลปะโบราณสถาน โบสถ์ที่สะท้อนเรื่องราวต่างๆ ..


โดย .. นางสาว มยุรินทร์  กุลวงศ์ ..












โบสถ์ซานออกุสติน
ที่มา : http://www.sac.or.th


โบสถ์ซานออกุสติน

         โบสถ์ซานออกุสติน เป็นโบสถ์เพียงแห่งเดียวที่รอดพ้นจากการทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มีประวัติว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ Legazpi สถาปนาอินทรามูรอส เดิมโบสถ์สร้างด้วยไม้แต่ถูกไฟใหม้เมื่อเทียนที่จุดบูชาหลุมศพนั้นเกิด อุบัติเหตุ โบสถ์ปัจจุบันสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1599-1606 และยังคงปรากฏจนถึงปัจจุบัน
          Façade ของโบสถ์ซานออกุสติน มีองค์ประกอบแบบคลาสิก (Classic) กล่าวคือประกอบด้วย หน้าบันสามเหลี่ยม (Pediment) ที่รองรับด้วยเสาโครินเธียน(ชั้นบน)และไอโอนิก (ชั้นล่าง) ถึงอย่างนั้น ที่หน้าบันสามเหลี่ยมกลับปรากฏหน้าต่างดอกกุหลาบ (Rose window) ซึ่งเป็นองค์ประกอบแบบโกธิค ที่ด้านข้างปรากฏหอระฆังซึ่งเดิมมี 2 หอแต่ปัจจุบันเหลือเพียงหอเดียวเนื่องจากภัยแผ่นดินไหวในศตวรรษที่ 19









 ภายในโบสถ์ซานออกุสติน
ที่มา : http://www.sac.or.th

 

ภายในโบสถ์ซานออกุสติน

      ภายในโบสถ์ซานออกุสตินมะนิลา เพดานเป็นวงโค้ง (Tunnel Vault) วาดภาพสถาปัตยกรรมลวงตาบนเพดาน (Trompe l’oeil) จิตรกรรมนี้วาดขึ้นโดยจิตรกรชาวอิตาเลี่ยนจำนวนสองคนใน ค.ศ.1875  ที่ปลายสุดของโบสถ์เป็นแท่นบูชาประดิษฐานเซนต์เจมส์ถือดาบ ซึ่งเป็นนักบุญประจำประเทศสเปน 









 โบสถ์เมืองปาวาย
ที่มา : http://www.sac.or.th


โบสถ์เมืองปาวาย

         โบสถ์เมืองปาวาย (Paoay) ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองโลวากประมาณ 25 กิโลเมตร ถือเป็นตัวอย่างโบสถ์แบบสเปนที่เก่าแก่และงดงามที่สุดแห่งหนึ่งในศิลปะฟิลิปปินส์  โดยได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย
          โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นใน ค.ศ.1699 แต่ต่อมาได้พังทลายลงเนื่องด้วยแผ่นดินไหว จึงมีการสร้างใหม่ใน ค.ศ.1710 ซึ่งยังคงปรากฏมาถึงปัจจุบัน
           แผงด้านหน้าของโบสถ์เมืองปาวาย สร้างขึ้นด้วยอิฐและปูนปั้น อันแตกต่างไปจากผนังด้านข้างที่สร้างด้วยหินปะการัง แผงด้านหน้า (façade) ที่นี่ประดับด้วยเสาติดผนัง 6 ต้น ซึ่งแบ่งแผงด้านหน้าออกเป็น 5 ส่วน  ด้านบนครอบด้วย pediment แบบคลาสิก แต่มีที่แขวนระฆังขนาดเล็กอยู่ด้านบนสุดของหน้าบันด้วย ในส่วน nave ปรากฏประตูอาร์คโค้งเพียงบานเดียว และไม่มีประตูสำหรับ aisle ส่วนที่บริเวณหน้าจั่ว (Tympanum) ปรากฏอาร์ควงโค้งเพื่อทำห้าที่เป็นหน้าต่างและซุ้ม นอกจากนี้ยังมีการประดับตราอาร์มของตระกูลที่อุปถัมภ์โบสถ์ดังกล่าว









 ภายในโบสถ์เมืองปาวาย
ที่มา : http://www.sac.or.th

 

ภายในโบสถ์เมืองปาวาย

         ภายในโบสถ์เมืองปาวาย เป็นโบสถ์ที่ปรากฏแท่นบูชา (altar) จำนวนสามซุ้มตามความนิยมของโบสถ์เมืองโลวาก-วีกัน ซุ้มกลางประดิษฐานนักบุญออกุสติน ส่วนซุ้มด้านข้างประดิษฐานพระเยซูและครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ โบสถ์มีความยาวมากแต่มีหลังคาเป็นเครื่องไม้มุงสังกะสี น่าสังเกตว่าหลงคาแบบง่ายๆเช่นนี้ เป็นความนิยมของโบสถ์สกุลช่างเมืองโล วาก-วีกัน










 อาสนวิการเมืองวีกัน
ที่มา : http://www.sac.or.th
 

อาสนวิหารเมืองวีกัน

          อาสนวิหารแห่งเมืองวีกัน ถือเป็นโบสถ์ที่โดดเด่นที่สุดในเมืองวีกัน โบสถ์แห่งนี้เริ่มต้นโดยบาทหลวงนิกายออกุสติน เริ่มสร้างครั้งแรกใน ค.ศ.1644 ส่วนที่เป็นอาคารหลังปัจจุบันนั้นสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1799
         แผงด้านหน้าของอาสนวิหารเมืองวีกันมีลักษณะเป็นแบบคลาสิก กล่าวคือ ตรงกลางประกอบด้วยหน้าบันสามเหลี่ยม pediment รองรับด้วยเสาไอโอนิคในชั้นบนและดอริคในชั้นล่าง ส่วนขื่อที่อยู่ระหว่างชั้นล่างและชั้นบนนั้นแสดงลวดบัวตามระเบียบ entablature แบบคาสิกอย่างชัดเจน ซุ้มโค้งตรงกลางปรากฏรูปเซนต์ปอลขี่ม้า และด้านบนหน้าบันปรากฏสัญลักษณ์ของเซนต์ปอล คือ ดาบและใบปาล์มอันเป็นสัญลักษณ์ของมรณสักขี (martyrdom ) แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นแบบคลาสิก แต่ก็ยังสามารถสังเกตองค์ประกอบเล็กน้อยที่ออกแบบตามแบบบารอกและตามแบบจีน ได้  เช่นการประดับถ้วยรางวัล (trophy) และการนำเอาสิงโตหินแบบจีนมาประดับ








 ภายในอาสนวิหารเมืองวีกัน
ที่มา : http://www.sac.or.th

 

ภายในอาสนวิหารเมืองวีกัน

        ภายในอาสนวิหารแห่งเมืองวีกันแห่งนี้ แสดงให้เห็นการแบ่งระหว่าง nave กับ aisle อย่างชัดเจนกว่าโบสถ์อื่นๆในพื้นที่เดียวกัน การแบ่งนี้ใช้แถวเสาที่มีอาร์คเชื่อมโยงกันเป็นตัวแบ่ง นอกจากนี้ เพดานของ  nave ยังสูงกว่าเพดานของ aisle อย่างชัดเจน ทำให้มีการเจาะหน้าต่างด้านข้าง nave ซึ่งูคล้ายคลึงกับศิลปะยุโรป แต่แตกต่างไปจากโบสถ์แห่งอื่นๆในพื้นที่เดียวกัน เพดานของโบสถ์ก็มีการ ตกแต่งโดยใช้สัน (rib) ตัดชันกันแต่ละช่วงเสา (bay) ซึ่งลักษณะเช่นนี้ทำให้นึกไปถึงการก่อหลังคาแบบ vault ของโบสถ์ในศิลปะโกธิค ที่ปลายสุดของ nave และ aisle ปรากฏแท่นบูชา ส่วนด้านข้างในแต่ละช่วง bay ก็ปรากฏแท่นบูชาขนาดเล็ก ซึ่งคงทำหน้าที่แทนchapel








 


หอระฆังอาสนวิการเมืองวีกัน
ที่มา : http://www.sac.or.th



หอระฆังอาสนวิหารเมืองวีกัน

         หอระฆังของอาสนวิหารเมืองวีกันมีลักษณะเป็นหอระฆังในสกุลช่างวีกัน กล่าวคือ เป็นหอคอยในผังแปดเหลี่ยม ซ้อนกันขึ้นไปหลายชั้น แต่ละชั้นมีองค์ประกอบแบบคลาสิก เช่น อาร์คโค้งและเสาติดผนัง ส่วนด้านบนสุดปรากฏโดม หอคอยแบบแปดเหลี่ยมนี้แตกต่างไปจากสกุลช่างเมืองโลวากที่นิยมหอคอยสี่ เหลี่ยมมากกว่าอนึ่ง ในสกุลช่างวีกันและโลวาก หอคอยย่อมตั้งอยู่แยกจากตัวโบสถ์เสมอ เนื่องจากเกรงว่าหอระฆังอาจล้มทับตัวโบสถ์หากเกิดแผ่นดินไหว









 แท่นบูชาประธานในอาสนวิการเมืองวีกัน
ที่มา : http://www.sac.or.th

 

แท่นบูชาประธาน :อาสนวิหารเมืองวีกัน

          แท่นบูชาประธาน (Main Altar) ของอาสนวิหารแห่งเมืองวีกัน เป็นแท่นที่อุทิศให้กับพระเยซูประทับบัลลังก์กษัตริย์แห่งสวรรค์(Enthroned Jesus) ด้านข้างยังปรากฏอัครสาวกอีกสององค์ คือเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter) ผู้ทรงมงกุฎพระสันตปาปาและถือกุญแจสวรรค์  และเซนต์แอนดรู (St.Andrew) ผู้ผือไม้กางเขนรูปตัว X อันเป็นเครื่องที่ท่านถูกประหาร สำหรับรูปแบบแท่นบูชาประธาน (Main Altar) มีการใช้ Cupid ในการตกแต่งและถือพวงมาลัย (garland) นอกจากนี้ การตกแต่งสถาปัตยกรรมด้วยถ้วยรางวัล (trophy) และโดมโค้งเว้า ซึ่งทั้งหมดแสดงการตกแต่งแบบบารอก (Baroque) ด้านบนสุดของแท่นบูชา ปรากฏนกเขาในรัศมีซึ่งแสดงสัญลักษณ์ของพระจิต (Holy Spirit)









 โบสถ์ประจำสุสานเมืองวีกัน
ที่มา : http://www.sac.or.th

 

โบสถ์ประจำสุสานเมืองวีกัน

       โบสถ์ประจำสุสาน (Cemetery Chapel)ซึ่งเรียกกันในภาษาพื้นเมืองว่า Simbaan a Bassit ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองวีกัน สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1852 เป็นโบสถ์ขนาดเล็กที่มีแผงด้านหน้าแบบบารอคอย่างชัดเจน  โดยแบ่งแผงด้านหน้าออกเป็นห้าส่วนด้วยเสาติดผนัง ด้านบนปรากฏหน้าบันโค้งเว้าตามแบบบารอค ด้านข้างประดับด้วย volute ขนาดใหย่ตามแบบบารอค และปรากฏประตูที่ใช้เป็นประตูเข้าไปสู่สุสาน การที่หน้าบันของ façade ใช้เป็นที่แขวนระฆังด้วยนั้น ถือเป็นรูปแบบที่พบไม่บ่อยนักในศิลปะฟิลิปปินส์ (ส่วนนี้เรียกในภาษาสเปนว่า Espadraña)








 โบสถ์ซานเซบาสเตียน
ที่มา : http://www.sac.or.th

 

 โบสถ์ซานเซบาสเตียน

      โบสถ์ซานเซบาสเตียนในมะนิลาถือเป็นโบสถ์เพียงไม่กี่แห่งในกรุงมะนิลาที่สร้างขึ้นตามแบบโกธิค ภายในเป็นโบสถ์ทีมีความสูงโปร่งและมีเสาที่ผอมบางอันเป็นการเลียนแบบศิลปะโกธิคตอนปลาย หลังคาเองก็ปรากฏ สัน” (rib) ตัดกันจำนวนมากซึ่งเป็นการเลียนแบบศิลปะโกธิคตอนปลายหน้าต่างของโบสถ์แห่งนี้ประดับด้วยกระจกสี ทำให้ภายในโบสถ์ค่อนข้างมืดอันเป็นเทคนิคการจำกัดแสตามแบบโกธิค









 แท่นบูชาภายในโบสถ์ซานเซบาสเตียน
ที่มา : http://www.sac.or.th

 

แท่นบูชาภายในโบสถ์ซานเซบาสเตียน


       แท่นบูชาแห่งนี้ประดิษฐานแม่พระแห่งภูเขาคาร์แมล แม่พระ ทรงอุ้มพระกุมารด้านหนึ่งอีกด้านหนึ่งกำลังประทาน สายจำพวกอันเป็นสัญลักษณ์ของการถือบวชให้กับนักบวชผู้จำศีลภาวนาอยู่ที่ภูเขาคาร์แมล
      โบสถ์ซานเซบาสเตียนมในมะนิลา ถือเป็นโบสถ์เพียงไม่กี่แห่งในกรุงมะนิลาที่สร้างขึ้นตามแบบโกธิค  แท่นบูชาภายในเป็นประกอบด้วยยอดหอคอยแหลมและกรอบซุ้มโค้งแหลมแบบโกธิค ผนังด้านหลังปรากฏหน้าต่างรูปดอกกุหลาบซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของสถาปัตยกรรมแบบโกธิคเช่นกัน



































ที่มา : http://www.sac.or.th

จิตรกรรมขอเล่าเรื่อง..

-- ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในเอเชียอาคเนย์ V -- .. จิตรกรรมผนังเล่าเรื่อง .. โดย .. นางสาวมยุรินทร์  กุลวงศ์ .. ...