-- ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในเอเชียอาคเนย์ II --
.. ศิลปะภาพสลักเล่าเรื่องในอินโดนีเซีย..
โดย.. นางสาว มยุรินทร์
กุลวงศ์
ศิลปะการแกะสลักภาพ
ที่มา : http://www.sac.or.th
งานศิลปะที่แสดงออกด้วยการปั้น แกะสลัก หล่อ และการจัดองค์ประกอบความงามอื่น ลงบนวัสดุต่างๆ เช่น ไม้ หิน โลหะ สำริด เพื่อให้เกิดรูปทรง 3 มิติ มีความลึกหรือนูนหนา สามารถสื่อถึงสิ่งต่างๆ สภาพสังคม วัฒนธรรม รวมถึงจิตใจของมนุษย์โดยชิ้นงาน
ภาพสลักเล่าเรื่องมหาภารตะ
ที่มา : http://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/sculptureth/.html
ภาพสลักเล่าเรื่องมหาภารตะ ฉาก ภีษมะถูกศรอรชุน
ภาพสลักที่ผนังระเบียงคดชั้นที่ 2 ที่ปราสาทนครวัด จะมีการสลักภาพนูนต่ำเล่าเรื่องต่างๆ ไล่เรียงกันไป ที่ผนังทุกด้าน โดยทางทิศตะวันตกสลักเป็นภาพเล่าเรื่องมหาภารตะลักษณะของเครื่องแต่งกาย บุคคลที่ปรากฏในภาพสลัก ดูจากบุคคลขนาดใหญ่ที่อยู่กลางภาพ นอนอยู่บนเตียงลูกศร ทรงกระบังหน้ายอดทรงกรวย ทรงกรองศอประดับพู่ห้อย พาหุรัด สังวาลไขว้กันเป็นรูปกากบาท ทรงผ้านุ่งสั้น มีชายผ้าสามเหลี่ยมชักออกมาด้านข้าง ซึ่งจากลักษณะดังกล่าวเป็นรูปแบบที่นิยมในศิลปะนครวัด
ในภาพสลักเป็นของมหาภารตะ ตอน ภีษมะโดนศรของอรชุน ซึ่งภีษมะ เป็นพระโอรสของพระราชาศานตนุแห่งกรุงหัสตินาปุระ แคว้นกุรุ กับพระแม่คงคาเป็น บุคคลสำคัญในเรื่องมหากาพย์มหาภารตะ เพราะถือเป็นปู่คนหนึ่งของทั้งฝ่ายเการพและฝ่ายปาณฑพ ในสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตรนั้น ท้าวภีษมะต้องเข้าร่วมกับพวกเการพ และเป็นแม่ทัพให้กับทุรโยธน์ท้าว ภีษมะไม่เต็มใจนักเพราะแต่ละฝ่ายต่างก็เป็นหลานของตน จึงเข้าร่วมกับฝ่ายเการพและบอกว่าจะไม่สังหารพี่น้องปาณฑพอย่างเด็ดขาด แต่ในที่สุดแล้ว ภีษมะก็ตายด้วยน้ำมือของอรชุนซึ่ง เป็นหลาน และนอนรอความตายอยู่บนเตียงลูกศร โดยสอนวิธีการปกครองให้กับพวกปาณฑพก่อนที่ตนเองจะตั้งใจตาย เมื่อสอนหลาน ๆ ฝ่ายปาณฑพจบ ภีษมะก็ได้ตายจากไปและขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ดังเดิม
ภาพสลักบุคคลขนาดใหญ่ที่อยู่กลางภาพ นอนอยู่บนเตียงลูกศร หมายถึงท้าวภีษมะส่วนบุคคลที่อยู่บนรถศึกกำลังแผลงศร น่าจะหมายถึง อรชุนที่แผลงศรใส่ภีษมะ
ภาพสลักเล่าเรื่องกองทัพพระเจ้าชัยวรมันที่
7
ที่มา
: http://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/sculptureth/.html
ภาพสลักเล่าเรื่องกองทัพพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ภาพสลักเป็นภาพสลักนูนต่ำ มีสลักภาพเต็มพื้นที่ของผนัง ประติมากรรมบุคคลมีพระพักตร์ตามแบบศิลปะบายน คือ หลับพระเนตรและยิ้มที่มุมพระโอษฐ์เล็กน้อย ไม่สวมเสื้อ มีแต่ผ้านุ่งซึ่งเป็นลักษณะของขบวนของคนทั่วไปไม่ใช่ทหาร สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นกองเสบียง
ปราสาทบายนสร้างขึ้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในพุทธศตวรรษที่ 18 เป็นปราสาทขนาดใหญ่หลังสุดท้ายในศิลปะเขมร สร้างขึ้นเนื่องในคติพุทธมหายาน โดยสถาปนาตัวพระองค์ให้เป็นภาคหนึ่งของพระพุทธเจ้า และได้สร้างพระพุทธรูปนาคปรกประดิษฐานไว้ที่ปราสาทประธาน
ภาพเล่าเรื่องปาณฑพเล่นสกากับเการพ
ที่มา
: http://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/sculptureth/.html
ภาพเล่าเรื่องปาณฑพเล่นสกากับเการพ
ภาพสลักนี้ แสดงเป็นบุคคลกลุ่มหนึ่งที่กำลังเล่นสกาอยู่ภายในอาคารเครื่องไม้ มุงกระเบื้อง ด้านนอกเป็นภาพพี่น้องปาณฑพคนอื่นๆกำลังยืนรอ
ตอนสำคัญที่สุดตอนหนึ่งของเรื่องมหาภารตะ ก็คือ ตอนเล่นสกาเพื่อพนันบ้านเมือง โดยกลุ่มปาณฑพซึ่งเป็นฝ่ายคุณธรรมถูกท้าทายจากกลุ่มเการพซึ่งเป็นฝ่ายอธรรม ในการเล่นสกา ต่อมา ปาณฑพได้เสียเมืองอินทรปรัสถ์และต้องออกไปเดินป่า 14 ปี
ภาพเล่าเรื่องในศิลปะชวาภาคตะวันออก ประติมากรรมบุคคลค่อนข้างแบนคล้ายคลึงหนังตะลุงชวา หันข้างเพียงอย่างเดียว ไม่มีการหันหน้าตรง มีการแต่งตัวด้วยศิราภรณ์แบบพื้นเมืองแตกต่างไปจากแบบอินเดีย ที่ว่างโดยรอบถมด้วยลวดลายพันธุ์พฤกษาและลายเมฆ อาคารเองก็เป็นอาคารเครื่องไม้มุงกรเบื้องตามอย่างอาคารแบบพื้นเมือง ความเป็นพื้นเมืองทั้งหมดนี้แสดงลักษณะเฉพาะของ “ศิลปะชวาภาคตะวันออก”
หน้าบันสลักภาพเล่าเรื่องรามเกียรติ์ ตอน โมกขศักดิ์
ที่มา
: http://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/sculptureth/.html
หน้าบันสลักภาพเล่าเรื่องรามเกียรติ์ ตอน โมกขศักดิ์
ประติมากรรมในภาพ บุคคลที่กำลังถอนหอก น่าจะหมายถึงพระราม ส่วนบุคคลที่ต้องหอกน่าจะหมายถึงพระลักษณ์ ด้านข้างของพระรามเป็นบุคคลหน้าตาเป็นยักษ์นั่งอยู่น่าจะหมายถึพิเภก
รามเกียรติ์ ตอน โมกขศักดิ์ ในภาพสลักเป็นตอนที่พระลักษณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์ของกุมภกรรณ พญายักษ์ที่เป็นอนุชาของทศกัณฐ์ ซึ่งพระรามและเหล่าขุนพลต่างหาวิธีที่จะถอนหอกโมกขศักดิ์ออกจากพระลักษณ์
ปราสาทนครวัดสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสูริยวร มันที่ 2 ในปี พ.ศ. 1656ภายหลังที่พระองค์ปราบดาภิเษก โดยเอาชนะพระปิตุลาคือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 และพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 1 ที่ครองราชอยู่ที่เมืองมหิทรปุระ
หน้าบันมีลักษณะยืดสูงเป็นทรงสามเหลี่ยม มีกรอบซุ้มเป็นซุ้มคดโค้ง กล่าวคือมีการทำกรอบโค้งเข้าโค้งออกอย่างสวยงาม ปลายกรอบซุ้มเป็นรูปนาคหลายเศียรตามแบบหน้าบันในสมัยพระนครตอนปลาย ตรงกลางหน้าบันปรากฏภาพสลักเล่าเรื่องรามเกียรติ์ ตอน โมกขศักดิ์
ภาพสลักเล่าเรื่องปัญจตันตระ จันทิเมนดุต
ที่มา
: http://art-in-sea.com/th/data/indonesia-art/central-java-art/item/.html
ภาพสลักเล่าเรื่องปัญจตันตระ จันทิเมนดุต
ด้านข้างของพนักบันไดและที่ฐานรองรับเรือนธาตุ
(ฐานชั้นบน) ของจันทิเมนดุต ปรากฎภาพเล่าเรื่องแทรกอยู่ในลายพันธุ์พฤกษาด้วย
ตังอย่างนิทานเรื่องเล่าที่สำคัย ได้แก่ นิทานเรื่องปูหนีบคอนกกระสาเจ้าเล่ห์
ภาพเล่าเรื่องจากนิทานปัญจตันตระ
ซึ่งเป็นนิทานสอนใจของอินเดียแต่งโดยใช้สัตว์ต่างๆเป็นตัวหลักละคร เช่น นิทานเรื่องเต่าปากมากซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากนกกระยางสองตัว เป็นต้น นิทานบางเรื่องก็ปรากฎให้เห็นเช่นเดียวกันในนิทานชาดก ด้วยความต้องการที่จะแสดงให้เห็นว่านิทานเหล่านี้เป็นนิทานโบราณของอินเดีย จึงทำให้นิทานดังกล่าวปรากฎทั้งในศาสนาฮินดูและพุทธ
ภาพเล่าเรื่องรามายณะ
ที่มา
: http://art-in-sea.com/th/data/indonesia-art/central-java-art/item/.html
ภาพเล่าเรื่องรามายณะ
แสดงภาพพระรามประทับพร้อมพระลักษณ์
ฐานชั้นล่างของจันทิปะนะตะรันสลักภาพเล่าเรื่องรามายณะ โดยภาพนี้เล่าเรื่องตอนพระรามประทับพร้อมด้วยพระลักษณ์และเหล่าพลลิง เมื่อสังเกตุอาจจะเห็นได้ว่า ภาพเล่าเรื่องในศิลปะชวาภาคตะวันออกมักถมพื้นว่างให้เต็มไปด้วยลวดลาย เช่น ลายเมฆหรือลายพันธุ์พฤกษา ส่วนตัวละครนั้นมีลัการะคล้ายคลึงกับหนังตะลุงชวา
(วาหยังกุลิด)
มากทั้งเครื่องแต่งตัว
ซึ่งมีการทำทรงผมแบบก้ามปูและการหันข้าง
ที่มา : http://art-in-sea.com/th/data/indonesia-art/.html
: http://www.sac.or.th/th/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น